ทำยังไงย?! ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ : #ประกันภัยรถยนต์ #ประกันรถเก๋ง #ต่อประกันรถยนต์
คดีที่ปวดหัวเรื่องหนึ่งคือคดีรถชนหรือโดนกัน ปวดหัวทั้งคนขับคู่กรณีและพนักงานสอบสวน ใครมีเส้นมีสาย เส้นเล็กเส้นใหญ่ขนมาใช้กัน
พวกที่ไม่มีเส้นไม่ค่อยรู้จักตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็ต้องขวนขวาย เป็นเรื่องที่ผมถูกปลุกตอนดึกๆอยู่เสมอ จะบอกเคล็ด(ไม่ลับ)ให้ตามหัวข้อเรื่อง
“ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ” ผู้ที่ใช้รถใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือคนเดินเท้าควรทราบ ไม่ได้สอนให้หัวหมอหรือเอาเปรียบคู่กรณี
แต่คุณควรจะรู้กฏเกณฑ์กติกาที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน, พนักงานอัยการ,ศาล,ทนายความหรือพนักงานเคลมของบริษัทประกันภัยเขาใช้กัน
กฏหมายฉบับเดียวคือพระราชบัญญัติการจราจรทางบกซึ่งมีอยู่แค่ร้อยกว่ามาตรา ผู้ทำหน้าที่สอบสวนและพิพากษาคดีใช้กฏหมายเล่มนี้เป็นคัมภีร์
แต่ผู้ใช้รถใช้ถนนไม่ทราบว่าได้ศึกษากฏหมายฉบับนี้บ้างหรือไม่ บางคนไม่เคยอ่านเลยแต่สอบใบอนุญาตขับขี่ผ่าน คนรุ่นเก่าใช้เส้นสาย
ทำใบอนุญาตขับขี่โดยไม่ได้สอบ บางคนอ่านเพียงแค่ผ่านตาไปเที่ยวเดียว ฉะนั้นเคล็ดลับของการ “ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ”คือ
ให้ท่านไปหาซื้อ พ.ร.บ.จราจรทางบกมาอ่านทำความเข้าใจอย่างน้อย ๒ เที่ยวต่อเดือน อ่านทุกเดือนนะครับไม่เช่นนั้นลืม ตำรวจหรือพนักงาน
สอบสวนเขาต้องเปิดดูบ่อยเพราะมีคดีรถชนหรือโดนกันทุกวัน
พวกที่ไม่มีเส้นไม่ค่อยรู้จักตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็ต้องขวนขวาย เป็นเรื่องที่ผมถูกปลุกตอนดึกๆอยู่เสมอ จะบอกเคล็ด(ไม่ลับ)ให้ตามหัวข้อเรื่อง
“ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ” ผู้ที่ใช้รถใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือคนเดินเท้าควรทราบ ไม่ได้สอนให้หัวหมอหรือเอาเปรียบคู่กรณี
แต่คุณควรจะรู้กฏเกณฑ์กติกาที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน, พนักงานอัยการ,ศาล,ทนายความหรือพนักงานเคลมของบริษัทประกันภัยเขาใช้กัน
กฏหมายฉบับเดียวคือพระราชบัญญัติการจราจรทางบกซึ่งมีอยู่แค่ร้อยกว่ามาตรา ผู้ทำหน้าที่สอบสวนและพิพากษาคดีใช้กฏหมายเล่มนี้เป็นคัมภีร์
แต่ผู้ใช้รถใช้ถนนไม่ทราบว่าได้ศึกษากฏหมายฉบับนี้บ้างหรือไม่ บางคนไม่เคยอ่านเลยแต่สอบใบอนุญาตขับขี่ผ่าน คนรุ่นเก่าใช้เส้นสาย
ทำใบอนุญาตขับขี่โดยไม่ได้สอบ บางคนอ่านเพียงแค่ผ่านตาไปเที่ยวเดียว ฉะนั้นเคล็ดลับของการ “ขับรถชนแล้วต้องไม่เสียเปรียบ”คือ
ให้ท่านไปหาซื้อ พ.ร.บ.จราจรทางบกมาอ่านทำความเข้าใจอย่างน้อย ๒ เที่ยวต่อเดือน อ่านทุกเดือนนะครับไม่เช่นนั้นลืม ตำรวจหรือพนักงาน
สอบสวนเขาต้องเปิดดูบ่อยเพราะมีคดีรถชนหรือโดนกันทุกวัน
ทบทวนความรู้เดิมกันสักหน่อยนะครับ เริ่มตั้งแต่คำจำกัดความ ท่านคงเข้าใจแล้วนะว่า ทางร่วมทางแยก ที่คับขัน เขตปลอดภัย
ช่องเดินรถ เส้นห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถ เส้นแนวหยุด เส้นให้ทาง เส้นทางข้าม เส้นทะแยงห้ามหยุดรถ เส้นชลอความเร็ว ฯลฯมี
ความหมายเช่นไร และท่านจะต้องปฏิบัติเช่นไรจึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่นก็คือผิด เมื่อท่าน
ไม่ปฏิบัติตามกฏจราจรแล้วถือว่าท่านประมาทปราศจากความระมัดระวัง นั่นก็คือถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายผิด ส่วนมากตำรวจหรือ
พนักงานสอบสวนจะชี้เบื้องต้นให้คู่กรณีทราบก่อนว่า “คุณเสียเปรียบคู่กรณี”(ที่จะชี้ว่าได้เปรียบคู่กรณีไม่เคยมี ) และมักจะไม่ชี้ชัด
ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า คุณเป็นฝ่ายถูกหรือเป็นฝ่ายผิด ภาษานักเลงเรียกว่า “แทงกั๊ก” มันมีเหตุผลหลายอย่างครับ
ช่องเดินรถ เส้นห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถ เส้นแนวหยุด เส้นให้ทาง เส้นทางข้าม เส้นทะแยงห้ามหยุดรถ เส้นชลอความเร็ว ฯลฯมี
ความหมายเช่นไร และท่านจะต้องปฏิบัติเช่นไรจึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่นก็คือผิด เมื่อท่าน
ไม่ปฏิบัติตามกฏจราจรแล้วถือว่าท่านประมาทปราศจากความระมัดระวัง นั่นก็คือถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายผิด ส่วนมากตำรวจหรือ
พนักงานสอบสวนจะชี้เบื้องต้นให้คู่กรณีทราบก่อนว่า “คุณเสียเปรียบคู่กรณี”(ที่จะชี้ว่าได้เปรียบคู่กรณีไม่เคยมี ) และมักจะไม่ชี้ชัด
ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า คุณเป็นฝ่ายถูกหรือเป็นฝ่ายผิด ภาษานักเลงเรียกว่า “แทงกั๊ก” มันมีเหตุผลหลายอย่างครับ
นอกจากนี้แล้วยังมีลักษณะสำคัญของกฏหมายฉบับนี้ที่ท่านต้องแม่น คือเรื่องการใช้ทางเดินรถ ตั้งแต่การขับรถ การขับแซงและ
ผ่านขึ้นหน้า การออกรถ การเลี้ยวรถ การกลับรถ การหยุด การจอด การใช้ความเร็ว การปฏิบัติตามสัญญาณและเครื่องหมาย
จราจร กฏหมายเขียนไว้ละเอียดยิบ ผมยังงงว่าคดีรถชนเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อกฏหมายกำหนดไว้ชัดเจนให้ทำอย่างนั้นให้ทำ
อย่างนี้ ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฏแล้วไม่มีทางที่รถจะโดนกันได้เลย ยกตัวอย่างเช่นการขับขี่รถจะต้องขับขี่ในช่องทางเดินรถ ถนน
บางเส้นทางตีช่องทางไว้ให้ขนาดกว้างช่องละประมาณ ๒ เมตรครึ่ง ขนาดของรถยนต์ปกติกว้างที่สุดประมาณ ๑ เมตร ๘๐ เซ็นต์
กฏหมายห้ามขับขี่รถคร่อมเส้นแบ่งช่องทาง เส้นทางใดที่ไม่มีเส้นแบ่งช่องทางเดินรถก็ให้ถือแนวกึ่งกลางถนนเป็นแนวเส้นแบ่ง
การขับรถตามกันให้เว้นระยะห่างพอสมควรพอที่ผู้ขับขี่รถคันหลังจะหยุดรถได้ทันเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นกับรถที่ขับขี่อยู่ข้างหน้า (มีบัญญัต
ไว้ใน ม.๔๐) เรื่องการเว้นระยะห่างนี้ศาลฎีกาเคยพิพากษาเป็นบันทัดฐานว่าอย่างน้อย ๑๕ เมตร และถ้าหากรถมีความเร็วต้องเว้น
ระยะห่างมากยิ่งขึ้น ความเร็วของรถยนต์ในเมืองสูงสุดได้ไม่เกิน ๙๐ กม./ชม. และเมื่อขับขี่เข้าเขตเทศบาล หรือผ่านทางแยกต้อง
ลดความเร็วลงครึ่งหนึ่ง ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฏแล้วไม่มีทางที่รถจะโดนกันได้เลยเว้นแต่คุณจงใจจะขับชน
สถิติคนตายเพราะอุบัติเหตุจราจรของประเทศไทยทั้งประเทศ ในยามปกติจะเสียชีวิตชั่วโมงละ ๑ คนครึ่ง ถ้าในช่วงเทศกาลเสีย
ชีวิตชั่วโมงละ ๓ คน (เป็นตัวเลขถัวเฉลี่ย) จะเห็นว่าคนตายเพราะอุบัติเหตุรถชนหรือโดนกันมากว่าในการสู้รบหรือทำสงครามและ
มากกว่าโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อถึงเทศกาลครั้งหนึ่งๆ เช่นวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ มีผู้คนใช้รถใช้ถนนกันมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นสูงตามไปด้วย รัฐบาล
รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยโดยวัดกันที่จำนวนคนตาย สมัยที่ผมยังมีหน้าที่อยู่ (ตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง) เคยเข้าร่วม
ประชุม ผมพยายามคัดค้านตลอดว่า จะวัดกันที่จำนวนคนเจ็บคนตายไม่ได้ มันต้องวัดกันที่จำนวนครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ เรื่องการ
เจ็บการตายเป็นเรื่องประสิทธิภาพของการแพทย์และหน่วยกู้ภัย ยกตัวอย่างคนขับรถโดยสารขับรถหลับในพาผู้โดยสารจำนวน ๔๐
คนลงเหวข้างทาง ผู้โดยสารและผู้ขับขี่ตายหมด อย่างนี้จะถือว่าผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องควบคุมจัดการจราจรบกพร่องทำให้มีผู้เสีย
ชีวิตจากการจราจรตั้ง ๔๑ คนไม่ได้
ผ่านขึ้นหน้า การออกรถ การเลี้ยวรถ การกลับรถ การหยุด การจอด การใช้ความเร็ว การปฏิบัติตามสัญญาณและเครื่องหมาย
จราจร กฏหมายเขียนไว้ละเอียดยิบ ผมยังงงว่าคดีรถชนเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อกฏหมายกำหนดไว้ชัดเจนให้ทำอย่างนั้นให้ทำ
อย่างนี้ ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฏแล้วไม่มีทางที่รถจะโดนกันได้เลย ยกตัวอย่างเช่นการขับขี่รถจะต้องขับขี่ในช่องทางเดินรถ ถนน
บางเส้นทางตีช่องทางไว้ให้ขนาดกว้างช่องละประมาณ ๒ เมตรครึ่ง ขนาดของรถยนต์ปกติกว้างที่สุดประมาณ ๑ เมตร ๘๐ เซ็นต์
กฏหมายห้ามขับขี่รถคร่อมเส้นแบ่งช่องทาง เส้นทางใดที่ไม่มีเส้นแบ่งช่องทางเดินรถก็ให้ถือแนวกึ่งกลางถนนเป็นแนวเส้นแบ่ง
การขับรถตามกันให้เว้นระยะห่างพอสมควรพอที่ผู้ขับขี่รถคันหลังจะหยุดรถได้ทันเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นกับรถที่ขับขี่อยู่ข้างหน้า (มีบัญญัต
ไว้ใน ม.๔๐) เรื่องการเว้นระยะห่างนี้ศาลฎีกาเคยพิพากษาเป็นบันทัดฐานว่าอย่างน้อย ๑๕ เมตร และถ้าหากรถมีความเร็วต้องเว้น
ระยะห่างมากยิ่งขึ้น ความเร็วของรถยนต์ในเมืองสูงสุดได้ไม่เกิน ๙๐ กม./ชม. และเมื่อขับขี่เข้าเขตเทศบาล หรือผ่านทางแยกต้อง
ลดความเร็วลงครึ่งหนึ่ง ถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฏแล้วไม่มีทางที่รถจะโดนกันได้เลยเว้นแต่คุณจงใจจะขับชน
สถิติคนตายเพราะอุบัติเหตุจราจรของประเทศไทยทั้งประเทศ ในยามปกติจะเสียชีวิตชั่วโมงละ ๑ คนครึ่ง ถ้าในช่วงเทศกาลเสีย
ชีวิตชั่วโมงละ ๓ คน (เป็นตัวเลขถัวเฉลี่ย) จะเห็นว่าคนตายเพราะอุบัติเหตุรถชนหรือโดนกันมากว่าในการสู้รบหรือทำสงครามและ
มากกว่าโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อถึงเทศกาลครั้งหนึ่งๆ เช่นวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ มีผู้คนใช้รถใช้ถนนกันมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นสูงตามไปด้วย รัฐบาล
รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยโดยวัดกันที่จำนวนคนตาย สมัยที่ผมยังมีหน้าที่อยู่ (ตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง) เคยเข้าร่วม
ประชุม ผมพยายามคัดค้านตลอดว่า จะวัดกันที่จำนวนคนเจ็บคนตายไม่ได้ มันต้องวัดกันที่จำนวนครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ เรื่องการ
เจ็บการตายเป็นเรื่องประสิทธิภาพของการแพทย์และหน่วยกู้ภัย ยกตัวอย่างคนขับรถโดยสารขับรถหลับในพาผู้โดยสารจำนวน ๔๐
คนลงเหวข้างทาง ผู้โดยสารและผู้ขับขี่ตายหมด อย่างนี้จะถือว่าผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องควบคุมจัดการจราจรบกพร่องทำให้มีผู้เสีย
ชีวิตจากการจราจรตั้ง ๔๑ คนไม่ได้
เพราะอุบัติเหตุเกิดจากผู้ขับขี่ประมาทเพียงคนเดียวรายเดียว ผมก็ไม่รู่ว่ารัฐบาลเขาคิดกันยังไง สาเหตุใหญ่ๆที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนหรือโดนกัน ขับขี่รถใช้ความเร็วเกินกฏหมายกำหนด เลี้ยวรถตัดหน้ารถอื่นในระยะกระชั้นชิด เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หยุดรถ เลี้ยวรถโดยไม่ให้สัญญาณก่อนล่วงหน้า ขับขี่รถในขณะที่ร่างกายหย่อนความสามารถในการขับขี่ เช่นหลับในรวมทั้งขับรถ ในขณะมึนเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นด้วย และท่านได้โปรดทราบไว้ด้วย - กรณีเลี้ยวรถทางขวาหรือกลับรถ ห้ามกระทำเมื่อมีรถสวนทางมาในระยะห่างน้อยกว่า ๑๐๐ เมตร(มาตรา ๕๒) - ผู้ขับขี่รถต้องให้สัญญาณก่อนที่จะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องเดินรถ จอดรถหรือหยุดรถ ในระยะทางไม่น้อยกว่า ๓๐ เมตร (มาตรา ๓๖) - การขับขี่รถขึ้นหน้ารถอื่นหรือแซงรถ ต้องแซงทางด้านขวา เว้นในกรณีที่รถที่ถูกแซงกำลังจะเลี้ยวขวา หรือเป็นถนนที่แบ่งช่องทางเดิน
รถในทิศทางเดียวกันตั้งแต่สองช่องขึ้นไป (มาตรา ๔๕)
- การขับขี่แซงขึ้นหน้ารถอื่นในทางเดินรถซึ่งมิได้แบ่งช่องเดินรถไว้ ต้องให้สัญญาณโดยกระพริบไฟหน้าหลายๆครั้ง หรือให้สัญญาณไฟ
เลี้ยวขวา เมื่อเห็นว่าไม่เป็นการกีดขวางและทำได้อย่างปลอดภัยจึงจะแซงขึ้นหน้าได้ (มาตรา ๔๔) ผู้ขับขี่รถแซงขึ้นหน้ารถอื่นเป็นฝ่ายที่จะ
ต้องใช้ความระมัดระวัง - ผู้ขับขี่รถคันที่จะถูกแชง เมื่อจะให้รถอื่นแซงขึ้นหน้า ต้องให้ไฟสัญญาณกระพริบเหลืองอำพันที่ติดอยู่ท้ายรถด้านซ้ายหรือไฟเลี้ยวซ้าย
(กรณีแซงด้านซ้ายเป็นเรื่องห้ามแซงตามที่ได้กล่าวไปแล้ว) ข้อนี้เป็นเรื่องของมรรยาทการขับขี่รถ (มาตรา ๓๘อนุ ๓)
- กรณีห้ามแซงเด็ดขาด เมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน อยู่ในทางโค้ง(เว้นแต่จะมีเครื่องหมายให้แซงได้) ภายในระยะ ๓๐ เมตร
ก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียน ทางเดินรถที่ตัดกับทางรถไฟ เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควันทำให้ไม่อาจมองเห็นทางข้าง
หน้าได้ในระยะ ๖๐ เมตร เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย (มาตรา ๔๕)
- ในทางเดินรถ ให้ถือเป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้ชนหรือโดนคนเดินเท้า (มาตรา ๓๒ กฏหมายบังคับให้คนขับรถต้อง
ระมัดระวังคนเดินเท้า)
- แต่ในกรณีที่ผู้ขับขี่รถ ชนหือโดนคนเดินเท้าที่ข้ามถนนทางนอกทางข้าม (เมื่ออยู่ในเขตที่บังคับให้ต้องข้ามในทางข้าม) หรือลอด หรือ
ผ่านสิ่งปิดกั้นห้ามข้ามทาง ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ขับขี่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอแล้ว มีอำนาจปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องมีหลัก
ประกันได้ (มาตรา ๑๔๕)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น